จะเลือกซื้อโปรเจคเตอร์ทั้งที ต้องดูอะไรบ้าง
โปรเจคเตอร์ไม่ได้มีแค่ “ฉายได้ก็ใช้ได้” ถ้าคุณอยากได้ภาพที่สว่าง ชัด และเหมาะกับสภาพแวดล้อม การเลือกให้ตรงกับการใช้งานถือว่า “สำคัญมาก” เพราะโปรเจคเตอร์แต่ละรุ่นถูกออกแบบมาให้เหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ทั้งในเรื่องความสว่าง และสัดส่วนของภาพ
1. ความสว่างของหลอดฉาย (Brightness / ANSI Lumens) 
ความสว่างเป็นปัจจัยแรกที่ควรดู โดยเฉพาะถ้าคุณใช้งานในห้องที่มีแสงเข้ามากๆ เช่น ห้องประชุมที่เปิดไฟจ้า
หรือมีหน้าต่างบานใหญ่
คุณควรเลือกโปรเจคเตอร์ที่มีความสว่างสูงหน่อย ตัวอย่างเช่น 5,000–6,000 ลูเมน เพื่อให้ภาพที่ฉายไม่ดูจาง ซีด หรือสูญเสียรายละเอียด
หากคุณใช้งานในห้องที่ควบคุมแสงได้ดี เช่น ห้องโฮมเธียเตอร์
ห้องเรียน
หรือห้องประชุมเล็ก ที่ปิดไฟได้ การเลือกโปรเจคเตอร์ที่มี ความสว่างประมาณ 2,000–3,000 ลูเมน ก็อาจเพียงพอและให้ภาพที่คมชัดกว่าในราคาที่ประหยัดกว่า
2. ขนาดจอภาพที่ต้องการฉาย (Screen Size) 
ขนาดของจอมีผลโดยตรงกับความสว่างที่ต้องใช้ เพราะการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นหมายถึงการกระจายแสงบนพื้นที่กว้างขึ้น ซึ่งจะทำให้ความสว่างต่อจุดลดลง ถ้าไม่เพิ่มลูเมน ภาพก็จะดูซีดและไม่ชัด
→ ดูหนังในบ้าน
ขนาดจอประมาณ 70–100 นิ้ว → แนะนำโปรเจคเตอร์ 1,000–2,000 ลูเมน
→ ห้องประชุมทั่วไป
จอประมาณ 100–120 นิ้ว → แนะนำโปรเจคเตอร์ 3,500–5,000 ลูเมน
→ ฉายบนจอใหญ่
120–180 นิ้ว → แนะนำโปรเจคเตอร์ 6,000–8,000 ลูเมน
→ งานฉายบนเวที
จอขนาด 240–300 นิ้ว → แนะนำโปรเจคเตอร์ 10,000 ลูเมนขึ้นไป
3. อัตราส่วนภาพ (Aspect Ratio) และความละเอียด (Resolution) 
จุดนี้หลายคนมองข้ามไป แต่มันส่งผลกับประสบการณ์ในการดูอย่างมาก
→ ถ้าใช้เพื่อ พรีเซนต์งาน
เอกสาร PowerPoint หรือในห้องเรียน ที่ไม่ต้องการความละเอียดสูง → แนะนำอัตราส่วน 4:3 (XGA, 1024×768) เพราะเป็นมาตรฐานสำหรับงานทั่วไป
→ ถ้าเน้น ดูหนัง
ใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์
หรืออยากได้ภาพเต็มจอไม่มีขอบดำ → ควรเลือกอัตราส่วน 16:9 หรือ 16:10 (Full HD หรือ WUXGA) ซึ่งจะตรงกับสัดส่วนของหน้าจอทีวีและคอมพิวเตอร์สมัยใหม่