บทความ

ติดตั้งระบบเสียงตามสายในโรงเรียน เลือกอย่างไรให้คุ้มค่า ?

ระบบเสียงภายในโรงเรียนต้องติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

การสื่อสารที่ชัดเจน คือหัวใจสำคัญของการมีส่วนร่วมของนักเรียนและอาจารย์ทุกคนภายในโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนที่ยังไม่เคยติดตั้งระบบเสียงมาก่อน ซึ่งโดยทั่วไป ปัญหาที่มักพบบ่อย ๆ คือ ทางโรงเรียนไม่รู้ว่าควรเลือกใช้อุปกรณ์และวางระบบอย่างไรให้ครอบคลุมทั้งพื้นที่ในร่มและกลางแจ้ง คู่มือนี้จะมาช่วยสร้างความเข้าใจในเรื่องระบบเสียงอย่างเป็นขั้นตอน พร้อมแนวทางการเลือกใช้ที่เหมาะสมสำหรับโรงเรียนโดยเฉพาะ

ทำไมโรงเรียนถึงต้องวางระบบเสียงให้ครอบคลุม ?

หากโรงเรียนใช้งานระบบเสียงที่ไม่ได้ออกแบบมาให้ครอบคลุมทั้งพื้นที่ในร่มและกลางแจ้ง อาจส่งผลต่อเรื่องต่าง ๆ เช่น เสียงที่กระจายไม่ทั่วถึงอาจทำให้นักเรียนไม่ได้รับข้อมูลสำคัญ หรือบางพื้นที่ที่ไม่ได้ยินเสียงประกาศจากไมค์ ยังจะทำให้เกิดปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างครูและนักเรียน แต่ในทางตรงกันข้าม การมีระบบเสียงที่มีประสิทธิภาพและออกแบบมาเพื่อการใช้งานในโรงเรียนโดยเฉพาะ จะช่วยให้การสื่อสารทำได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว เช่น การประกาศสัญญาณเตือนภัย หรือการแจ้งข้อมูลสำคัญเพื่อให้นักเรียนคอยเฝ้าระวังในเรื่องต่าง ๆ

นอกจากนี้ การติดตั้งลำโพงที่ไม่ทั่วถึงพร้อมกับระบบที่มีคุณภาพ หรือใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับระบบเสียงตามสายภายในโรงเรียน ยังจะส่งผลต่อการกระจายเสียงที่ทำได้ไม่ครอบคลุม ด้วยเหตุนี้ โรงเรียนหลาย ๆ แห่งจึงหันมาใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญที่รับทำระบบเสียงโรงเรียน เพื่อตอบสนองในด้านการสื่อสารได้อย่างครอบคลุม

ระบบเสียงมีอะไรบ้างที่นิยมใช้ภายในโรงเรียน ?

การเลือกใช้ระบบเสียงต้องพิจารณาจากการใช้งานที่หลากหลาย โรงเรียนจึงจำเป็นต้องมีอุปกรณ์และการวางระบบเสียงที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้สามารถใช้งานได้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ภายในโรงเรียน เช่น สนามกีฬา, ลานกลางแจ้ง และห้องเรียน

ระบบกระจายเสียงสาธารณะ (Public Address System: PA)

ระบบกระจายเสียงสาธารณะ (PA) คือระบบหลักที่ทำหน้าที่กระจายเสียงโดยเน้นการประกาศทั่วไป นับเป็นระบบที่ทุกคนคุ้นเคย ใช้สำหรับกิจกรรมประจำวัน เช่น การเข้าแถว การประกาศรายชื่อนักเรียน การเปิดเพลงชาติ หรือการประกาศจากห้องผู้อำนวยการ

หากสงสัยว่าอุปกรณ์เครื่องเสียงของระบบ PA ควรมีอะไรบ้าง ? โดยส่วนมากมักจะประกอบด้วยแหล่งกำเนิดเสียง (ไมโครโฟน), เครื่องขยายเสียง และลำโพงประกาศจำนวนมากที่เชื่อมต่อกันเป็นสาย อย่างไรก็ตาม การมีแค่อุปกรณ์เหล่านี้อาจยังไม่เพียงพอ เพราะต้องมีการคำนวณกำลังขับและตำแหน่งการติดตั้งที่แม่นยำเพื่อให้เสียงมีความสม่ำเสมอทั่วทั้งบริเวณด้วย

ระบบอินเทอร์คอม (Intercom System)

ระบบอินเทอร์คอม (Intercom System) เหมาะสำหรับการสื่อสารระหว่างอาคารและในห้องเรียน เป็นระบบสื่อสารแบบสองทางที่เน้นการติดต่อเฉพาะจุดหรือเฉพาะกลุ่ม เช่น ระหว่างสำนักงานกับห้องพยาบาล หรือระหว่างห้องพักครูกับห้องเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ระบบนี้จะช่วยลดเวลาในการเข้าถึงพื้นที่และทำให้การประสานงานรวดเร็วและเป็นส่วนตัวมากขึ้น

ระบบเสียงแจ้งเหตุฉุกเฉิน (Emergency Sound System)

ระบบเสียงแจ้งเหตุฉุกเฉิน (Emergency Sound System) คือ ระบบประกาศแจ้งเหตุฉุกเฉิน เพื่อความปลอดภัยในโรงเรียน เป็นระบบที่มีความสำคัญสูงสุดและมักจะถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกับระบบเตือนภัยอื่น ๆ เช่น ระบบตรวจจับควันหรือไฟไหม้ ระบบนี้ต้องมีความน่าเชื่อถือสูง สามารถทำงานได้แม้ในภาวะไฟดับ และสามารถประกาศข้อความที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายเพื่อนำทางนักเรียนและบุคลากรไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว

อุปกรณ์เครื่องเสียงสำหรับโรงเรียน ควรมีอะไรบ้าง ?

การเลือกอุปกรณ์เครื่องเสียงให้เหมาะสมกับโรงเรียน จะช่วยให้ระบบเสียงทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และนี่คือ 4 อุปกรณ์เสียงสำคัญ ที่ช่วยเสริมการวางระบบกระจายเสียงภายในโรงเรียนที่ไม่ควรมองข้าม

  • ลำโพง (Speaker) : ทั้งแบบติดผนังและลำโพงสนาม ควรเลือกประเภทที่สามารถกระจายเสียงได้ทั่วถึงทุกพื้นที่ และทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
  • เครื่องขยายเสียง (Amplifier) : ใช้สำหรับขยายเสียงที่ออกจากไมโครโฟน เพื่อให้เสียงสามารถไปได้ไกลและครอบคลุมทุกพื้นที่ภายในโรงเรียน
  • มิกเซอร์ (Mixer) : ช่วยในการปรับสมดุลเสียงให้เหมาะสม และสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ไมโครโฟนและลำโพงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ไมโครโฟน (Microphone) : ทั้งแบบมีสายและไร้สาย เหมาะสำหรับการใช้ในห้องเรียนหรือใช้ประกาศในพื้นที่นอกอาคาร ซึ่งไมโครโฟนประกาศไร้สายจะช่วยให้สามารถเคลื่อนไหวในระหว่างการใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

 องค์ประกอบของเสียงมีอะไรบ้าง ทำความเข้าใจเพื่อตั้งค่าเครื่องเสียง

เข้าใจองค์ประกอบของเสียงมีอะไรบ้าง ก่อนติดตั้งระบบกระจายเสียงในโรงเรียน

เพื่อปรับแต่งระบบเสียงภายในโรงเรียนให้มีคุณภาพสูงสุด ผู้ติดตั้งควรคำนึงถึงการพิจารณาด้านองค์ประกอบของเสียงเป็นสำคัญ เพราะตัวแปรดังกล่าวมีผลต่อความชัดเจนและอรรถรสในการรับฟัง โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ความถี่ (Frequency) : คือจำนวนรอบการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงต่อวินาที มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ (Hz) เป็นหนึ่งในตัวกำหนดเสียงสูง-ต่ำ (Pitch) ในระบบประกาศของโรงเรียน จึงควรให้ความสำคัญกับช่วงความถี่ของเสียงพูด (ประมาณ 300 Hz – 3,400 Hz) เพื่อให้ข้อความที่ประกาศมีความชัดเจน และไม่ควรเน้นไปที่เสียงดนตรี
  • ความดัง (Amplitude) : คือพลังงานของคลื่นเสียงที่ถูกปล่อยออกมา มีหน่วยเป็นเดซิเบล (dB) เป็นเสมือนตัวกำหนดความดัง-ค่อย (Loudness) ในสภาพแวดล้อมของโรงเรียน ซึ่งความดังของเสียงจะต้องเพียงพอและสามารถเอาชนะเสียงรบกวนจากภายนอก แต่ไม่ควรดังจนเกินไปจนเป็นอันตรายต่อการได้ยินของนักเรียนและบุคลากร
  • รูปคลื่น (Waveform) หรือ ทิมเบอร์ (Timbre) : คือลักษณะเฉพาะของเสียงที่ทำให้เราแยกแยะแหล่งกำเนิดเสียงได้ แม้ว่าเสียงเหล่านั้นจะมีความถี่และความดังเท่ากันก็ตาม (เช่น เสียงแตรกับเสียงระฆัง) ในระบบ PA รูปคลื่นที่ได้จากลำโพงที่ดีจะช่วยให้เสียงพูดมีความเป็นธรรมชาติและฟังเข้าใจง่าย

การรู้และเข้าใจว่าองค์ประกอบของเสียงมีอะไรบ้าง จะช่วยให้สามารถตั้งค่าอุปกรณ์เครื่องเสียงให้มีคุณภาพมากขึ้น เช่น การปรับค่า EQ บนมิกเซอร์ให้อยู่ในระดับที่พอดี ทำให้เสียงที่ส่งออกมามีความสมดุล ไม่แหลมแสบแก้วหู หรือทุ้มอู้อี้จนฟังไม่รู้เรื่อง

แนวทางการเลือกอุปกรณ์กระจายเสียงและการติดตั้งระบบเสียงในโรงเรียน

การติดตั้งระบบเสียงขนาดใหญ่ในโรงเรียนไม่ใช่แค่การซื้ออุปกรณ์เครื่องเสียงมาเชื่อมต่อกันเท่านั้น แต่ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงวิศวกรรมและการออกแบบอะคูสติก (Acoustics) ที่ดี ซึ่งก็คือการประยุกต์ใช้หลักการด้านเสียง เพื่อควบคุมระดับของเสียงในพื้นที่หนึ่ง ๆ ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การใช้งาน ทั้งยังช่วยให้เสียงที่กระจายออกมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ เพื่อให้ระบบกระจายเสียงทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การพิจารณาถึงองค์ประกอบที่มีผลต่อการติดตั้ง ทั้งปัจจัยด้านพื้นที่ในโรงเรียน การใช้งาน ตลอดจนปัจจัยด้านผู้ให้บริการและการประกันสินค้า ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามทั้งสิ้น

  • ลักษณะและขนาดพื้นที่ใช้สอยของโรงเรียน : ขนาดของพื้นที่ที่ต้องการให้เสียงจะเป็นตัวกำหนดกำลังขับ (Wattage) และจำนวนลำโพงที่ต้องใช้
  • ห้องเรียน/ห้องประชุมขนาดเล็ก : ระบบเสียงที่นำมาติดตั้ง ควรให้ความสำคัญในเรื่องความชัดเจนของเสียงพูด โดยควรใช้ลำโพงแบบติดเพดานหรือติดผนังที่มีการกระจายเสียงที่สม่ำเสมอ
  • หอประชุม/โรงยิมเนเซียมขนาดใหญ่ : เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ทำให้ต้องการเสียงที่ดังและชัดเจนทั้งสำหรับการประกาศและการแสดง จึงต้องมีการออกแบบระบบเสียงเพื่อลดเสียงก้อง (Reverberation) ควบคู่ไปกับการใช้ลำโพงกำลังขับสูง พร้อมกับจัดวางในตําเเหน่งที่เหมาะสม เพื่อช่วยกระจายเสียงให้ทั่วถึงพื้นที่
  • พื้นที่กลางแจ้ง/สนาม : ต้องเลือกใช้ลำโพงสนามที่ทนทานต่อสภาพอากาศ (IP Rating) และมีการออกแบบให้เสียงเดินทางได้ไกล โดยอาจต้องใช้ระบบเสียงแยกโซนเพื่อควบคุมความดังไม่ให้รบกวนชุมชนภายนอก
  • ความง่ายในการใช้งาน (Ease of Use) : ระบบเสียงในโรงเรียนมักถูกใช้งานโดยครูหรือเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงโดยตรง ดังนั้น ควรเลือกระบบที่มีอินเทอร์เฟซไม่ซับซ้อน ใช้งานง่าย และมีคู่มือการใช้งานที่ชัดเจน
  • ความทนทานและการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ : อุปกรณ์ที่ใช้ควรมีความทนทานต่อการใช้งานหนักในทุกสภาพแวดล้อมของโรงเรียน และสามารถบูรณาการ (Integrate) เข้ากับระบบ AV (Audio-Visual) อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วได้ เช่น การเชื่อมต่อกับ ระบบเครื่องเสียงเดิมของโรงเรียนหรือองค์กรได้เป็นอย่างดี
  • การรับประกันและบริการหลังการขาย : เลือกผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจโครงสร้างอาคารและพื้นที่ และพิจารณาผู้ให้บริการที่มีการรับประกันและบริการหลังการขายที่ดี มีทีมสนับสนุนที่พร้อมเข้าแก้ไขปัญหาเมื่อระบบเสียงขัดข้อง

หากคุณเป็นเจ้าของโรงเรียนที่กำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเสียง การทำงานกับทีมที่มีประสบการณ์คือคำตอบ GYGAR พร้อมให้บริการรับทำระบบเสียงโรงเรียน ตั้งแต่การออกแบบ วางแผน ไปจนถึงการติดตั้งระบบเสียงตามสายที่เหมาะกับโรงเรียนของคุณโดยเฉพาะ ครอบคลุมทั้งอุปกรณ์มาตรฐานและโซลูชันระดับโปร เพื่อให้การสื่อสารภายในโรงเรียนมีคุณภาพและยั่งยืน ติดต่อเราเพื่อขอใบเสนอราคาหรือคำปรึกษาได้ที่ LINE: @gygar , Facebook: GYGAR หรือ โทร 0-2582-2285

 

ข้อมูลอ้างอิง: